Please fill in the following and we will get back to you within 2 working days.
เสนอ

ทำไม เราถึงมีโปรแกรมการอ่านที่ดีที่สุด?



ทำไม I CAN READ ถึงเป็นโปรแกรมการอ่านที่ดีที่สุดในโลก?
ทำไม I CAN READ ถึงเป็นหลักสูตรที่ผู้ปกครองเลือก?

เป็นเพราะโปรแกรมสอนการอ่านอื่น ๆ ไม่มีสิ่งต่อไปนี้ :
  • หลักสูตรคิดค้นวิจัยโดยนักจิตวิทยาทางการศึกษายาวนานมากว่า 20 ปี
  • คิดค้นหลักสูตรโดยผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอกทางด้านภาษาศาสตร์และจิตวิทยา และทำงานวิจัยเกี่ยวกับการอ่านและทำงานในสายนี้มากกว่า 20 ปี
  • ผู้คิดค้นหลักสูตรนี้ยังเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง "Dealing with Dyslexia and Other Reading Difficulties” โดยสำนักพิมพ์ Pearson Education
  • หลักสูตร I CAN READ® ผ่านการพิสูจน์ว่าดีจริงทั้งในประเทศสิงคโปร์และต่างประเทศโดยมีข้อมูลทางสถิติสนับสนุนข้อพิสูจน์นี้
  • เป็นหลักสูตรการสอนที่มีนักเรียนประสบความสำเร็จมากกว่า 270,000 คน
  • ได้รับการยกย่องโดยศาสตราจารย์ไบรอัน เบิร์น : ผู้เขียน "The Alphabetic Principle" เป็นหลักสูตรเดียวกับการวิจัยในปัจจุบันเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการสอนการอ่าน
  • เป็นระบบเดียวที่รวมการปรับเปลี่ยนการเชื่อมโยงระบบประสาทเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ANL  ซึ่งเป็นกลไกการเรียนรู้เล็ก ๆ  ที่ช่วยให้ผู้ที่เรียนมีผลการเรียนที่ดีกว่าทุกคนที่ใช้วิธีการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
  • ถ้าหากคุณเลือก I CAN READ นั่นหมายถึงคุณกำลังเลือกระบบที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับการพิสูจน์มากว่า 19 ปีว่าเป็นผู้นำในตลาดและได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ

ทั้งหมดนี่เป็นการการันตีได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวังเมื่อให้ลูกเรียนกับ I CAN READ

VIEW MORE VIEW LESS

โฟนิคส์สำคัญอย่างไร ทำไมต้องเรียน

สมัยนี้การเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ยินกันบ่อยในหมู่เด็กๆ ก็คือการเรียนโฟนิคส์ ที่ต่างเรียนกันอย่างแพร่หลาย จนหลายท่านอาจสงสัยว่าการเรียนโฟนิคส์นั้นคืออะไร



โฟนิคส์
สำคัญอย่างไร ทำไมต้องเรียน

สมัยนี้การเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ยินกันบ่อยในหมู่เด็กๆ ก็คือการเรียนโฟนิคส์ ที่ต่างเรียนกันอย่างแพร่หลาย จนหลายท่านอาจสงสัยว่าการเรียนโฟนิคส์นั้นคืออะไร ทำไมสมัยเราเรียนหนังสือไม่เห็นเคยได้ยินหรือเคยรู้จักมาก่อน ทำไมสมัยนี้พูดกันเยอะมาก วันนี้จะเล่าเรื่องการเรียนโฟนิคส์ให้ทราบกันคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ

โฟนิคส์ คือวิธีการเรียนอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตัวอักษร a ถึง z ทั้ง 26 ตัว ผู้เรียนจะต้องเข้าใจเสียงของตัวอักษรต่างๆ และออกเสียงเหล่านั้นให้ได้อย่างถูกต้องจึงจะสามารถผสมเสียงออกมาเป็นคำได้ ยกตัวอย่างเช่น การสะกดคำว่า cat ในสมัยเราๆ จะท่องกันว่า ซี-เอ-ที แคท แมว ซึ่งยากที่จะเข้าใจว่าทำไม ซี-เอ-ที ถึงกลายเป็นแคทไปได้ เพราะการท่องแบบนี้ไม่ได้ใช้หลักการผสมเสียงแต่เป็นการท่องจำการสะกดคำเสียมากกว่า

จากตัวอย่างนี้ ถ้าเรียนตามหลักโฟนิคส์ จะสอนให้รู้จักตัว “c” จากเสียงของมันคือเสียง “ค” (ออกเสียงเคอะ เบาๆ ในลำคอ) ตัว “a” เป็นเสียง “แอะ” และตัว “t” เป็นเสียง “ท” (ออกเสียง เทอะ เบาๆ ใช้ปลายลิ้นกระทบฟันหน้าบน) และผสมเสียงกันเป็น “ค-แอะ-ท แคท” (ลองออกเสียง ค-แอะ-ท ซ้ำๆ เร็วๆ จะพบว่าสุดท้ายจะออกเสียงเป็น “แคท”) หลักการถอดรหัสเสียง และผสมเสียงแบบนี้แหละค่ะที่เรียกว่าโฟนิคส์นั่นเอง ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึกผสมเสียงพยัญชนะ สระต่างๆ ที่หลากหลายจนคล่องแคล่วโดยใช้หลักโฟนิคส์นี้ค่ะ

เรียนแล้วได้อะไร ?

การเรียนโฟนิคส์จะช่วยให้เด็กๆ ออกเสียงได้ถูกต้อง ทำให้พวกเขาสื่อสารภาษาอังกฤษได้ชัดเจน และสามารถอ่านเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถสะกดคำศัพท์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่วจากการรู้จักเสียงของตัวอักษรและเข้าใจหลักการผสมเสียง แม้ในช่วงแรกการเรียนแบบโฟนิคส์จะดูช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำมาก เพราะเด็กต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจเสียงและหลักการผสมคำจากง่ายไปยาก ต้องฝึกซ้ำๆ เพื่อให้จำได้ และมีบทศึกษามากมายที่ยืนยันว่าเด็กที่เรียนการอ่านเขียนแบบนี้จะสามารถเรียนภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่านักเรียนทั่วไป และมีความแตกฉานทางภาษา รักการอ่าน การค้นคว้าหาความรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองในอนาคต

เรียนโฟนิคส์แล้วจะนำมาใช้ทันกับหลักสูตรแบบดั้งเดิมของโรงเรียนทั่วไปหรือเปล่า ?

การเรียนโฟนิคส์นั้น จะเรียนแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงจะดูช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำ เพราะเด็กๆ ไม่ว่าจะโตแค่ไหน เรียนระดับไหนก็ต้องมาเริ่มที่เสียง a b c … แล้วค่อยๆ หัดผสมเสียงจากง่ายก่อน ดังนั้น จะคาดหวังให้ใช้หลักโฟนิคส์สะกดคำยากๆ ได้เลยตามที่โรงเรียนให้การบ้านมาในช่วงแรกของการเรียนโฟนิคส์ก็อาจดูยากเกินไปสำหรับลูก เช่น ลูกเพิ่งเรียนการผสมเสียงสระตัว “a” เช่นคำว่า bat, hat, rat, mat หากจะให้สะกดคำว่า January โดยหลักโฟนิคส์เลย คงยังทำไม่ได้ แต่ในระยะยาวเมื่อลูกเรียนจบและได้มีการฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าการเรียนโฟนิคส์จะช่วยส่งเสริมให้การอ่าน การสะกดคำต่างๆ เป็นไปได้ง่ายขึ้น และเข้าใจหลักการออกเสียง การอ่านเขียนอย่างแท้จริง จึงมีบทวิจัยออกมาหลายสำนักว่าหลักโฟนิคส์ช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่านักเรียนทั่วไปถึง 2-3 ปี

หลักโฟนิคส์นี้เป็นการเรียนแบบใหม่ที่เพิ่งค้นพบหรือ ?

หลักโฟนิคส์ เป็นหลักการอ่านเขียนที่เรียนกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่เมื่อราว 20-40 ปีที่ผ่านมาได้เลือนหายไป เนื่องจากมีทฤษฎีใหม่ที่บอกว่าการอ่านแบบโฟนิคส์นั้นยุ่งยาก กว่าจะแตกเสียง ผสมเสียง จนอ่านเป็นคำนั้นช้าไม่ทันใจ หันมาใช้วิธีเรียนแบบจำคำศัพท์เป็นคำๆ ที่เรียกว่า Whole Language ดีกว่าเพราะเร็วกว่ากันเยอะ โรงเรียนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย จึงเลิกสอนโฟนิคส์ไปตามๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปีกลับพบว่าความสามารถในการอ่านเขียนของประชาชนต่ำลง เพราะคนเรานั้นจดจำคำศัพท์ได้จำกัด และการไม่รู้หลักการสะกดนั้นก็ทำให้อ่านได้ไม่คล่อง เมื่อเห็นคำยากหรือคำใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่อยากอ่าน ทำให้การอ่านค้นคว้าความรู้ต่างๆ ลดลงตามไปด้วย จึงมีฟื้นฟูการเรียนโฟนิคส์ให้นำกลับมาสอนอีกครั้งเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจหลักการอ่านเขียนอย่างแท้จริง

ดิฉันเอง ช่วงที่พัฒนาหลักสูตรโฟนิคส์สำหรับเด็กไทยนั้น ได้เดินทางไปหลายแห่งเพื่อศึกษาแนวการสอนของต่างประเทศ และได้พบโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศออสเตรเลียที่ยึดมั่นใช้การสอนตามหลักโฟนิคส์มาตลอดหลายสิบปีด้วยความเชื่อมั่นและปรากฏว่านักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้สามารถกวาดรางวัลการอ่าน การออกเสียง การเขียนเรียงความทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศได้จนมีชื่อเสียงไปทั่ว ทำให้เชื่อได้เลยว่าหลักโฟนิคส์เป็นประโยชน์สำหรับเด็กๆ อย่างแท้จริง

ผลจากการเรียนโฟนิคส์ของเด็กไทยเป็นอย่างไรบ้าง ?

จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาที่เราได้นำหลักสูตรโฟนิคส์ที่เรียนด้วยความสนุกสนานเข้าสอนเด็กๆ ในโรงเรียนต่างๆ หลายพันคน ปรากฏว่าได้ผลดีมาก เด็กๆ แม้แต่ระดับอนุบาลที่ได้เรียน ก็สนุกที่จะออกเสียงตัวอักษรต่างๆ ภาคภูมิใจที่ผสมคำได้ด้วยตนเอง และเมื่อกลับบ้านก็ยังชอบที่จะอ่านป้าย อ่านและสะกดคำต่างๆ ตามหลักที่ได้เรียนมา จะผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไรแต่เขาก็สนุกที่จะลองใช้ความรู้ที่เรียนมาไปกับคำรอบๆ ตัวที่หลากหลาย ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นการเริ่มต้นสร้างทัศนคติที่ดีในการออกเสียงและการอ่านเขียนตามหลักที่ถูกต้อง และจะช่วยพัฒนาการออกเสียงและการอ่านเขียนของพวกเขาอย่างมากในระยะยาว และสามารถต่อยอดไปสู่ทักษะอื่นๆ ที่สำคัญในอนาคต เช่น การเขียนเรียงความ เขียนบทความ การจับประเด็น จับใจความ คิดวิเคราะห์เนื้อหาอย่างเป็นเหตุผลด้วย

หากอยากให้เด็กเก่งภาษาอังกฤษ ควรเรียนโฟนิคส์อย่างเดียวเลยหรือไม่ ?

แม้โฟนิคส์จะเป็นความรู้และเป็นพื้นฐานที่ดีในการออกเสียงและการอ่านเขียน แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทักษะภาษาอังกฤษทั้งหมด ดังนั้น นอกจากโฟนิคส์แล้ว คุณครูอย่าลืมปูพื้นฐานในเรื่องการฟัง การพูดภาษาอังกฤษของเด็กให้ดีควบคู่กันไปด้วย เพราะเป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้กัน และต้องการการฝึกฝนเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่อให้ฟังพูดได้คล่องแคล่ว แตกฉาน มั่นใจ และความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละทักษะยังสามารถนำมาเชื่อมโยงต่อยอดกันและกันได้ด้วย ที่สำคัญ คุณครูต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ตาม เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขาเรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน


-----

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.aksorn.com


I CAN READ WEB CLASS

I Can Read Web-Classes ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เด็ก ๆ สามารถเรียนภาษาอังกฤษได้จากที่บ้านได้อย่างสะดวก โดยทางไอแคนรีดได้ทำการย้ายคลาสเรียนปกติทั้งหมดขึ้นไปอยู่บน Platform Online ซึ่งจะเป็นการเรียนกับครูผู้สอนแบบ Real time ในรูปแบบของ Live-Lesson สอนกันสด ๆ ผ่านจอคอมพิวเตอร์

ซึ่งจะไม่ใช่การเรียนออน
ไลน์แบบที่นิยมใช้วิธีเรียนผ่านโปรแกรม Video Conference ทั่ว ๆ ไป





I Can Read Web-Classes ได้รับการการันตีจากผู้ปกครองของนักเรียนไอแคนรีดทั่วโลก ว่าเป็นการเรียนออนไลน์ที่ดีที่สุด คุณครูและนักเรียนจะสามารถการโต้ตอบกันด้วย Function กา
รทำงานต่าง ๆ ที่เสมือนอยู่ในคลาสเรียนจริง มีความสนุกสนานด้วยระบบ Interactive ที่น้อง ๆ จะสามารถโต้ตอบกับคุณครูและเพื่อน ๆ ในระหว่างที่เรียนได้อย่างง่ายดาย แต่ละคลาสก็จะเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเด็ก ๆ จะสนุกสนานและตื่นเต้นไปกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่คุณครูนำมาถ่ายทอดให้
.
นอกจากนี้ในคลาสเด็กเล็กคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถนั่งเรียนไปพร้อมกับเด็ก ๆ ไปด้วยกัน เป็นการสร้าง Quality Time ภายในครอบครัวขึ้นอีกทางหนึ่ง


พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของน้อง ๆ ด้วยหลักสูตรออนไลน์ หลักสูตรเฉพาะของไอแคนรีด เรียนโดยตรงกับคุณครูเจ้าของภาษา

หลักสูตรออนไลน์ของสถาบันสอนภาษาอังกฤษไอแคนรีด ที่ได้รับการการันตีจากผู้ปกครองนักเรียนไอแคนรีดทั่วโลกว่าเป็นการเรียนออนไลน์ที่ดีที่สุด ช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของน้อง ๆ ด้วยหลักสูตรออนไลน์ หลักสูตรเฉพาะของไอแคนรีด เรียนโดยตรงกับคุณครูเจ้าของภาษา



สนุกสนานด้วยระบบ Interactive

สนุกสนานด้วยระบบ Interactive ที่น้อง ๆ จะสามารถโต้ตอบกับคุณครูและ
เพื่อน ๆ ในระหว่างที่เรียนได้อย่างง่ายดาย


หลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อคลาสออนไลน์สำหรับเด็กโดยเฉพาะ

สอนสดผ่านระบบออนไลน์ (Live-Lesson) ด้วยหลักสูตรลิขสิทธิ์เฉพาะของไอแคนรีดที่มีความตื่นเต้น ซึ่งเราได้ออกแบบมาให้เหมาะสมกับคลาสเรียนสำหรับเด็กโดยเฉพาะ


เรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 4-6 คน

คลาสเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่น้อง ๆ จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับคุณครูและเพื่อน ๆ ได้อย่างทั่วถึง







ชมวิดีโอแนะนำ
I Can Read
Web-Classes







วิดีโอขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมสำหรับใช้งาน
I Can Read Web-Classes





เปิดให้ทดลองเรียน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สอบถามรายละเอียดได้ที่ไอแคนรีดทุกสาขา
หรือ โทร 085-6865565


VIEW MORE VIEW LESS

การสอนภาษาอังกฤษที่ดีต้องมีลักษณะอย่างไร



การสอนให้อ่านภาษาอังกฤษได้ดีนั้นต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจนให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีการรวมเสียงแต่ละเสียงของตัวอักษรออกมาเป็นคำคำหนึ่ง การสอนให้เข้าใจเสียงภาษาอังกฤษแต่ละเสียงนั้น ส่งผลให้Pronunciation หรือการเปล่งเสียงในคำนั้นนั้น ออกมาชัดเจนได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะนำอักษรใดมาผสม หรือ เรียงต่อกันผู้เรียนก็จะสามารถเปล่งเสียงในคำที่เกิดจากอักษรต่างๆได้ทั้งหมดและเมื่อนักเรียนเห็นอักษรภาษาอังกฤษ ก็จะเปล่งเสียงออกมาได้อย่างอัตโนมัติโดยนักเรียนจะจดจำเสียงในรูปแบบของ ‘pictures of sound’ นั้นเองและนี่คือสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่เป็นกุญแจไปสู่การเป็นนักอ่านภาษาอังกฤษที่ดีต่อไป

แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดและตอบโจทย์ได้ทั้งหมดเพราะภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาที่บางครั้งก็ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวไม่ว่าจะเป็น ไวยากรณ์ การสร้างประโยค การออกเสียง หรือการผสมเสียงในภาษาอังกฤษก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ตัวอักษร ‘a’ อาจจะออกเสียงได้ต่างๆกัน เช่น ในคำเหล่านี้ ‘cat’ ‘gate’ ‘was’ ‘any’ ‘tall’ bath’ ‘area’ หรือเช่นในคำว่า ‘ough’ การออกเสียงคำเหล่านี้อาจไม่มีวิธีการตายตัว เช่น ‘cough’ เสียงที่แยกได้คือ /k/-/o/-/f/ แต่ถ้าคำว่า ‘bough’ เสียงที่แยกได้คือ /b/-/ow/ ซึ่งเหมือนกับเสียงที่แยกได้ใน ‘cow’ ลองพิจารณาตัวอักษรชุดเดียวกันในคำ ‘though’ ‘through’ และ ‘enough’  ถึงแม้ว่าตัวอักษรจะเหมือนกันแต่การออกเสียงต่างกันไป ดังนั้นการเรียนการอ่านภาษาอังกฤษก็คือการที่สามารถผสมเสียงได้อย่างถูกต้องในแต่ละคำนั่นเองในบางครั้งผู้เรียนอาจต้องฝึกฝนการอ่านไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นความชำนาญในที่สุด

ภาษาอังกฤษไม่ได้มีกฎที่ตายตัวทำให้ไม่สามารถเรียนตามกฎได้ ความท้าทายของผู้ทำการศึกษาในขณะนี้คือทำอย่างไรที่จะให้เด็กๆเรียนรู้เสียงต่างๆได้อย่างถูกต้องพื้นฐานที่เด็กๆควรจะต้องมีคือการเรียนรู้เรื่องหน่วยพื้นฐานของเสียงนั้น ๆ ความท้าทายต่อมา คือทำอย่างไรที่จะรับประกันได้ว่าเด็กสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง

จากตัวอย่างข้างต้นการออกเสียงในกลุ่มเดียวกันของตัวอักษรไม่ตรงตามตัวเสมอหลายคำในภาษาอังกฤษที่เขียนในรูปแบบเดียวกันแต่อ่านออกเสียงแตกต่างกันไปซึ่งคำเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาและวิธีสอนให้เกิดความเข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน Children must know whether to say /off/ or /ow/ (ตัวอย่างเช่น) in a word like /cough/. Additionally many words in written English contain letters that seemingly make no contribution to the  pronunciation of the word. This can lead to confusion and reading difficulties for any student. A word like /apple/ could as easily be written /apl/ where the three sounds are all present and eliminating the remaining letters /p/ and /e/. เด็กจะต้องทราบว่าจะพูด /ออฟ / หรือ / อาว / (ตัวอย่าง) ในคำเช่น / คอฟ / หลายคำนอกจากนี้ในการเขียนภาษาอังกฤษมีตัวอักษรที่ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนการออกเสียงแต่จริงไม่ออกเสียงข้อนี้สามารถนำไปสู่ความสับสนและความยากลำบากในการอ่านสำหรับนักเรียนได้เช่น / apple / สามารถเขียนง่ายๆได้ / APL /อ่านเพียงสามเสียงเท่านั้น

ในประวัติศาสตร์การประชุมไม่ง่ายที่จะยกเลิกสิ่งเหล่านี้เว็บสเตอร์พยายามที่จะกำจัดข้อบกพร่องในการเขียนภาษาอังกฤษนี้ เช่น colour เป็น color โดยศตวรรษที่ 17 กำหนดหลักการสะกดคำให้เป็นแบบหลัก 2 แบบระหว่างการเขียนแบบอังกฤษและการเขียนแบบอเมริกัน


VIEW MORE VIEW LESS

หากท่านไม่สามารถหาคำตอบของเรื่องที่ท่านสงสัยได้ในหน้านี้ กรุณาแจ้งทางสถาบันแล้วเราจะติดต่อกลับท่านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้




อันที่จริงแล้วเหตุผลที่เด็กบางคนอ่านหนังสือไม่ค่อยออกนั้นมีอยู่หลายสาเหตุแต่หากอ้างอิงจากบทความในหนังสือเรื่อง “ปัญหาของเด็กที่มีปัญหาในการอ่าน (Dyslexia and Other Reading Difficulties)” ของ Antony Earnshaw และ Annabel Seargeant เขียนโดย นักจิตวิทยาการศึกษา ผู้ซึ่งใช้เวลาเกือบ 20 ปีในการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้ได้สรุปว่าสาเหตุของปัญหาดังกล่าวหลักๆแล้ว เกิดมาจากการวิธีการสอนยังที่ขาดxระสิทธิภาพและไม่ได้มาตรฐานที่เพียงพอ

VIEW MORE VIEW LESS